One of three columns
One of three columns
One of three columns

สมาคมการตลาดฯ เผยวิสัยทัศน์ ร่วมฝ่าวิกฤติเคียงข้างผู้ประกอบการ และนักการตลาดไทย เน้นสร้างพลังขับเคลื่อน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

2.6k
SHARE

นายอนุวัตร เฉลิมไชย  นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย นำโดย นายอนุวัตร เฉลิมไชย นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แถลงข่าววิสัยทัศน์และพันธกิจ พร้อมแนะนำทีมคณะกรรมการอำนวยการชุดใหม่ 34 ท่าน ที่มาร่วมขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และพันธกิจของสมาคมร่วมกัน ในงานงานแถลงข่าว “MAT 2020 การตลาดไทยยุค New Normal”  ณ ห้องรอยัลมณียา บอลรูม A โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน 2563

นายอนุวัตร กล่าวว่า “ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมานี้ เป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในโลกธุรกิจ ทั้งในแง่ของรูปแบบการทำการตลาด และ skillset ของบุคลากรคนทำธุรกิจ ซึ่งความท้าทายหลักที่ภาคธุรกิจต้องรับมือนั้น มาจากหลายสาเหตุ คือ

  • New Crisis ทั้งเรื่องโควิด-19 และ เรื่องสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่แย่ลงทุกวัน
  • New Normal เมื่อผู้บริโภคก้าวสู่โลก digital lifestyle เต็มตัว นักการตลาดก็ต้องปรับกระบวนทัพตามอย่างรวดเร็ว
  • New Technology เข้ามามีบทบาทเปลี่ยนโลกการตลาดแบบเดิมๆ ซึ่งโลก analog เริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง AI, Mixed Reality, 5G ฯลฯ นักการตลาดต้องปรับตัวให้ทัน
  • New Consumers แบ่งผู้บริโภคเป็น 2 กลุ่มที่ต่างกันจนสุดขั้ว คือ กลุ่ม Generation Z กับ กลุ่มSilver Generation นักการตลาดยุคนี้ต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง generation marketing มากขึ้น ซึ่งความท้าทายนี้สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้
  • ความไม่แน่นอน (Uncertainty) จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในวงการธุรกิจและการตลาด ทั้งเรื่องเทคโนโลยีดิจิตอลที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมถึงวิกฤติและความท้าทายต่างๆ ทำให้นักการตลาดในยุคนี้ต้องปรับตัวให้ทันกับโลกการตลาดยุคใหม่อยู่เสมอ

โดยมุ่งสร้างสังคมของนักการตลาดพันธุ์แท้ หรือ Genuine Society of Marketing Professionals เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับทุกๆคน เพื่อสร้างเครือข่ายนักการตลาดชั้นนำของประเทศ และ มุ่งทำงานเพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของสมาคม คือ “การใช้ความเยี่ยมยอดทางการตลาด มาเป็นพลังขับเคลื่อนขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศ” (Marketing Excellence as a ‘Competitive Force’ of the Nation) ผ่านการขับเคลื่อนด้วย 4 พันธกิจหลัก (4H)  คือ

  1. สร้าง Head หรือ Center of Marketing Wisdom มีการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการตลาด เพื่อประมวลความคิด วิเคราะห์กลั่นกรอง Co-Create องค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านการตลาด และธุรกิจให้กับประเทศ โดยเริ่มจากผู้บริหารด้านการตลาด และผู้เชี่ยวชาญภาคการศึกษาที่จะมาร่วมเป็นภาคีในการระดมพลังสมองให้กับนักการตลาดไทย
  2. สร้าง Hand หรือเครือข่ายผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด (The CMO & Academic Board) ที่จะช่วยเผยแพร่ความรู้ด้านการตลาดที่แท้จริง นอกเหนือจากการระดมพลังสมองแล้ว ทางสมาคมฯ ยังมุ่งสร้างเครือข่ายนักการตลาดที่จะมาแบ่งปันความรู้จากประสบการณ์จริงและกรณีศึกษาต่างๆ ผ่านกิจกรรมของสมาคมฯ ในรูปแบบงานสัมมนาและงานแลกเปลี่ยนความรู้ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับ ประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
  3. สร้าง Heart เพื่อชี้ให้เห็นถึง จิตวิญญาณการตลาด ที่ถูกต้องและเหมาะสม ปลุกจิตสำนึก และชี้ให้เห็นว่า “การตลาดที่ถูกต้องและเหมาะสม คือ จิตวิญญาณสำหรับทุกธุรกิจ” และการยึดมั่นในจรรยาบรรณการตลาดที่ดี จะส่งผลดีกับธุรกิจในระยะยาว
  4. สร้าง Hope เพื่อจุดประกายธุรกิจด้วยการสร้างนักการตลาดยุคใหม่ เน้นสร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ผ่านโครงการ J-MAT (Junior Marketing Association of Thailand) โดยผนึกกำลังกับภาคการศึกษา เสริมประสบการณ์แก่นักศึกษาธุรกิจและการตลาดให้มีศักยภาพ พร้อมเข้าสู่โลกธุรกิจ และเติมความรู้ด้านการตลาดยุคใหม่ให้แก่นักการตลาดที่ต้องการ Reskill & Upskill เพื่อสร้างความหวังและความเชื่อมั่น ในการที่จะใช้การตลาดนำพาประเทศไทยไปสู่โลกการตลาดยุคใหม่

เพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์และพันธกิจที่วางไว้ ทางสมาคมฯ จะมีบทบาทเป็นแพลตฟอร์มในการ

  1. Networking & Collaboration สร้างเครือข่าย รวมไอเดียและให้ความร่วมมือกับภาคีต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งระดับบุคคลและองค์กร โดยมีกิจกรรมให้นักการตลาดได้มาพบปะกัน ทั้งงาน Marketing Day, Insight Marketing Visit, และงานแจกรางวัล MAT Award และ Hall of Fame เป็นต้น
  2. Knowledge & Experience sharing ตกผลึกแนวคิดตลาดยุคใหม่จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมแบ่งปันให้แก่ผู้ประกอบการ และนักการตลาดผ่านงานสัมมนาและกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ เช่น The CMO Academy และ Super Brand Manager ซึ่งเป็น flagship course ของเรา
  3. Next generation development พัฒนานักการตลาดรุ่นใหม่ให้มีทั้งศักยภาพ และมีจรรยาบรรณ ผ่านโครงการ J-MAT และการมอบทุนการศึกษาของมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดฯ

นอกจากนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจหลักในการเติมความรู้ด้านการตลาดยุคใหม่ให้แก่นักการตลาดที่ต้องการ Re-Skill & Up-Skill สมาคมการตลาดฯ จึงพัฒนา 4 แกนความรู้หลักสำคัญที่นักการตลาดมองข้ามไม่ได้ คือ

  1. Strategic marketing การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนก่อนออกเดินทางในโลกธุรกิจ
  2. Martech & Innovations การเรียนรู้ที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาปรับใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่แตกต่าง
  3. Storytelling การสื่อสารอย่างมีศิลปะ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในโลกที่เต็มไปด้วยสาสน์จากหลายแบรนด์
  4. Marketing integrity & Sustainability การเติบโตอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของธรรมาภิบาลที่ดี

 

โดยทางสมาคมการตลาดฯ จะมีการพัฒนาหลักสูตรและเนื้อหาต่างๆ ที่ตอบโจทย์ทั้ง 4 ด้าน (4R) เพื่อเป็น
การเรียนรู้ (Learning Pillars) ใหม่ของสมาคมฯ ในการช่วยพัฒนาศักยภาพนักการตลาดไทย…

  1. Reskill & Upskill สร้างโอกาสตัวเอง ให้มีศักยภาพพร้อมก้าวสู่โลกการตลาดยุคใหม่
  2. Response สามารถตอบโจทย์และปรับตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที
  3. 3. Recover กลับสู่สภาวะการดำเนินธุรกิจตามปกติหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย
  4. Renew พัฒนาธุรกิจ โดยนำโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤติมาใช้ เพื่อการเติบโตในระยะยาว

ทางสมาคมฯ มั่นใจว่า หากองค์กรและนักการตลาดมีการปรับตัวและเติมความรู้ใหม่ๆ จะนำไปสู่ ผลลัพธ์ 3S คือ Survive, Strong, และ Sustainable ไม่ใช่แค่ให้ธุรกิจอยู่รอด แต่สามารถเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน

โดยในปี 2563 – 2565 ผู้ที่จะมาร่วมขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และพันธกิจของสมาคมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ กลุ่มคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ Industrial, Service, FMCG, Retail, Tech, Platform, Media & Advertising Agency, Research, PR, Communications เป็นต้น โดยการทำงานหลักๆ คือร่วมกันระดมสมองตกผลึกองค์ความรู้ต่างๆ ของคณะกรรมการบริหารทุกท่าน เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพนักการตลาดไทย นายอนุวัตรกล่าวทิ้งท้าย

 

รูปภาพบรรยากาศงาน

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

Fast Food Brand หลบไป Faster Food Store มาแล้ว

2.6k
SHARE

หลายคนคงเข้าใจว่า 7-Eleven ถือกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะถ้าไปญี่ปุ่นก็จะเห็นร้านอยู่ทุกถนนทุกซอย เพราะมีสาขามากที่สุดถึง 31% ของสาขาทั้งหมดในโลก แต่จริงๆ แล้ว 7-Eleven เริ่มกิจการที่สหรัฐอเมริกา โดย บริษัท เซาท์แลนด์ไอซ์ จำกัด ซึ่งชื่อก็บอกชัดเจนว่าขายน้ำแข็ง ต่อมาขยายไลน์สินค้าอุปโภคบริโภค และเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.00 am – 11.00 pm จึงเป็นที่มาของคำว่า 7-Eleven มาถึงทุกวันนี้นี่เอง

 

 

ประเทศไทยมีจำนวนสาขาร้าน 7-Eleven เป็นอันดับ 2 ของโลก ถึง 11,299 ร้าน ในปี 2019 โดย 2 เหตุผลหลัก ที่เห็นได้ชัดในการผลักดันการเติบโตของ 7-Eleven คือ

1) การเข้าถึงลูกค้า เคยสังเกตกันไหมว่า ร้านมักจะตั้งอยู่ในจุดที่มี High Need ตาม Daily Customer Journey ตั้งแต่จุดเริ่มต้น/ จุดพักของการเดินทางในแต่ละวัน เช่น ปั๊มน้ำมัน, สถานที่ท่องเที่ยว → จุดหมายในแต่ละวัน เช่น ที่ทำงาน โรงเรียน และจุดสิ้นสุดของการเดินทางในแต่ละวัน เช่น หน้าหมู่บ้าน ในคอนโด

2) การเข้าใจลูกค้า เรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้ 7-Eleven เลย ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า มีสินค้าและบริการ ตอบ 3 ขั้นความต้องการของคนใน Maslow’s Need
Physiological Needs: อาหารมื้อหลัก มื้อรอง ขนมนมเนย เครื่องดื่ม ปัจจุบันมี Fresh Coffee Kiosk ตามความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการดื่มกาแฟชงสด
Safety Needs: การดูแลสุขภาพอนามัย มียาสามัญประจำบ้านขาย มีหน้ากากอนามัยขาย ตามสถานการณ์ ที่เปลี่ยนไป
Psychological Needs: อาหารและเครื่องดื่มสำหรับโอกาสสังสรรค์ โอกาสพิเศษ การดูแลตัวเองให้ดูดี เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Beauty Products Line ใหม่ๆ และ อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงต่างๆ

ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัท อินเทจ (ประเทศไทย) จำกัด ทำการศึกษาพฤติกรรมการบริโภค Fast Food ของผู้บริโภคในยุค Convenience Driven พบ 2 Key Insight ที่น่าสนใจ

1. Needs State and Occasion of Consumption ของผู้บริโภคไม่เปลี่ยน ผู้บริโภคจะตัดสินใจว่าจะทานอะไร โดยเริ่มจาก Needs State ว่าวันนี้จะทานเพื่ออะไร ทานเพื่ออิ่ม ทานเพื่อให้รางวัลตัวเอง ทานเป็นมื้อหลัก ทานเป็นอาหารว่าง หรือ By Occasion คือทานคนเดียว หรือทานกับใคร ในโอกาสอะไร

2. อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และหันไปทางไหนก็เจอแต่ร้านสะดวกซื้อ โดยเฉพาะ 7-Eleven ทำให้เจ้าของแบรนด์ Chained Fast Food ใหญ่ๆ อาจต้องปวดหัว เพราะมี 7-Eleven เข้ามาแย่ง Share of Wallet, Share of Stomach และเมื่อวิเคราะห์จาก Consumer Perception จะเห็นว่า 7-Eleven มี POD มากกว่า Chained Fast Food Brands ในเรื่อง ‘Faster’ – สะดวกกว่า

  • Point of Parity (POP) กับ Chained Fast Food: ของว่าง สำหรับทานคนเดียว สำหรับเวลาพักผ่อน
  • Point of Differentiation (POD) กับ Chained Fast Food: โอกาสเร่งด่วน ยามรีบ ความสะดวก

จาก Brand Relative Correspondence Mapping ข้างล่างจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคจัดร้านสะดวกซื้อ/ 7-Eleven ใน Segment เดียวกับ Chained Fast Food เนื่องจากความสะดวก และการตอบสนองความต้องการ Light Meal ในเวลาพักผ่อน

A : Eating with family
B : Eating alone
C : Eating with friends
D : For special occasion
E : Meal
F : Light meal/ snack
G : Urgent meal while traveling/ work
H : Leisure moment
I : Want good food but don’t want to go out

แต่อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่า ผู้บริโภคเชื่อว่า เขาสามารถรับประทานอาหารที่ขายใน 7-Eleven ได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพ ในขณะที่ อาหารจาก Chained Fast Food ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ควรรับประทานบ่อยๆ และนี่เป็น POD อีกตัวของ ‘Faster Food Store

หนึ่งในเหตุผลที่อาจทำให้เกิด Perception นี้ คือ การมีของสด ขาย ไม่ว่าจะเป็น อาหารที่ทำใหม่ทุกวัน และ Kiosk กาแฟ/ ชาสด

 

 

 

A : Variety of menu
B : Regularly offers new menu
C : Good quality and fresh raw material
D : Consistent taste
E : Regularly offers interesting promotion
F : Unhealthy, shouldn’t be eaten frequently
G : Delivery service available
H : Unique menu, unavailable elsewhere
I : Unique taste, unavailable elsewhere
J : Enhances my image

จากผลการวิจัยข้างต้น ชี้ให้เห็นว่านักการตลาดต้องวิเคราะห์การแข่งขัน และคู่แข่งในตลาดจากมุมมองของผู้บริโภค ไม่ใช่จาก Category Segment เท่านั้น การทำ Market Segmentation ที่ดี จึงต้องใช้ความต้องการของผู้บริโภคเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ Product เป็นตัวนำ เพราะคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด อาจจะเป็นคู่แข่งนอกสายตาของนักการตลาด แต่อาจเป็นตัวเต็งในใจ (Top-of-Mind) ของผู้บริโภคก็เป็นได้

Source of Image:

Tags:

ผู้เขียน
INTAGE (Thailand)

INTAGE (Thailand) Co., Ltd.

สมาคมการตลาดฯ จัดงานมอบทุนแก่นิสิตที่ได้รับทุนจากมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ประจำปี 2563 

2.6k
SHARE

 

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้จัดงานมอบทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษาที่เรียนดีและมีศักยภาพที่จะเป็นนักการตลาดที่ดี  โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เป็นประธานมอบทุนการศึกษา โดยนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับ

 

ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ขึ้นกล่าวรายงานถึงผลการดำเนินงานของมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดฯ ซึ่งมีจำนวน 28 ทุน โดยเป็นทุนที่ให้ต่อเนื่องทุกปีจนจบการศึกษาและนักเรียนทุนจะได้มีโอกาส เข้าฟังการอบรมหลักสูตรต่างๆของสมาคมฯ ,เข้าเรียนโครงการ Marketing Trainee ฯลฯ โดยมูลนิธิฯให้การสนับสนุนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

 

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ท่านได้กรุณามากล่าวให้โอวาทและให้ความรู้แก่นิสิตในพิธีมอบทุนการศึกษานี้ด้วย

 

 

ภาพบรรยากาศ

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

Trends & Changes – Are you ready for Future Marketing?

2.6k
SHARE

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม  MAT ได้เปิดคอร์ส Super Brand Manager รุ่น 34 หลักสูตร flagship ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมสัมมนามาจากหลากหลายธุรกิจ โดยคุณอนุวัตร เฉลิมไชย นายกสมาคมการตลาดฯ ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนา พร้อมบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “Future of Marketing” ในสภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอน นักการตลาดต้องพร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง  โดยคณะผู้จัดทำ ได้ทำสรุปเนื้อหาทั้งหมดมาลงไว้ด้วย

สำหรับวันแรกเนื้อหายังเข้มข้น อัดแน่นไปด้วยสาระขนาดนี้ ผู้เข้าสัมมนา ต้องเรียนรู้ และทำ Workshop ร่วมกันตลอด 14 วัน ได้อัพสกิลความรู้ใหม่ๆกลับไปแน่นอน

 

Tags:

ผู้เขียน
อรพิชชา พนารมย์

MAT Vaccine For Business EP.5

2.6k
SHARE

ปรับกระบวนทัพรับความเปลี่ยนแปลง

หัวข้อสำคัญสำหรับ EP นี้ พูดถึง วิถีชีวิตหลังโควิด ในช่วงที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้ว ผู้ประกอบการและนักการตลาดต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างไร หลายๆครั้งได้ยินคำว่า “New Normal” มาบ้างแล้ว ซึ่งใครๆก็พูดถึงคำว่า “New Normal” แต่อาจจะยังไม่รู้ว่ามันมีผลกระทบต่อธุรกิจของเราอย่างไร

วันนี้เราจะได้มาพูดคุย และ ฟังประสบการณ์จากนักธุรกิจที่มีการปรับตัวก่อนที่จะมี “New Normal” และทำสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นกับธุรกิจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการปรับเปลี่ยน พลิกวิธีคิดเพื่อการอยู่รอด กับแขกรับเชิญสุดพิเศษ 2 ท่าน
1. คุณคงยศ วรรณนิตย์ Co-founder ฌาบีบีเฮ้าส์ ร้านอาหารฮาลาล​ชื่อดังที่แม้แต่แม่ชมพู่ยังต้องมาอุดหนุน
2.คุณแคทลียา ท้วมประถม MD. The Design Essential Co.,Ltd ผู้ขยายกิจการครอบครัว สู่ผู้นำด้านธุรกิจออกแบบของไทย

ทั้ง2 ท่านเริ่มต้นธุรกิจจากการเป็น SMEs จนเติบโตขึ้น และตอนนี้ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด วันนี้เราจะมาคุยเกี่ยวกับว่าทั้งสองท่านพาธุรกิจผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร

จุดเริ่มต้นของฌาบีบีเฮ้าส์ เริ่มต้นเปิดสาขาแรกที่จุฬา จากหุ้นส่วนของคุณคงยศที่ต้องการรักษาสูตรอาหารฮาลาลของคุณแม่ เมื่อมีผลตอบรับที่ดีจึงสขายสาขาที่สอง ไปที่ประชาอุทิศ23

ธุรกิจของคุณแคทลียา เริ่มจากรุ่นคุณย่า ขายของที่ริมถนนพาหุรัถ รุ่นคุณพ่อที่เริ่มซื้อตึก มาถึงรุ่นคุณแคทลียา มีความตั้งใจที่จะต่อยอดธุรกิจของครอบครัวให้ต่อเนื่องไป และด้วยใจรักในการทำธุรกิจ จากธุรกิจการ์ดแต่งงาน ในรุ่นของคุณแคทลียา ได้พัฒนาให้เติบโต นอกจากร้านที่มีชื่อเป็นที่รู้จัก คือ ANYA อยู่ที่ทองหล่อ ที่พาหุรัถ ก็ยังมีสาขาอยู่ที่ประเทศพม่า และ ประเทศลาว และมีการต่อยอดธุรกิจด้านออกแบบดีไซน์ และ Branding design ชื่อ The design essential ด้วย

จากช่วงเวลาที่กำลังไปได้ดี เมื่อเกิดโควิด ทั้ง 2 ท่านได้รับผลกระทบอย่างไร และตั้งหลักอย่างไรบ้าง

ในด้านของธุรกิจ wedding ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เห็นตัวเลขที่คนแต่งงานน้อยลง ขนาดของงานเล็กลง และใช้เงินกับการทำการ์ดแต่งงานน้อยลง จากที่เริ่มเห็นถึงสถานการณ์นี้ก็เกิดความคิดที่จะปรับตัวตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดโควิด แล้วในช่วงแรกที่เกิดโควิด ก็นั่งคิดว่าคงมี 2 ทางเลือก จะแค่อยู่รอด หรือจะรวยขึ้น เพราะมีความเชื่อว่าในทุกวิกฤตมีโอกาส หากมองว่าปรับตัวแค่อยู่รอดก็เป็นการกรอบตัวเอง แต่หากมองว่าอยากจะรวยขึ้น จะมีวิธีการไหนบ้างที่จะทำให้เรารวยขึ้น
สำหรับวิธีรับมือ คือ เริ่มต้นจากการย้อนกลับไป ตั้งคำถาม อยากรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรจากเรา และมีปัญหาอะไร เนื่องจากทางร้านทำของชำร่วยงานศพ สิ่งที่ถูกถามถึงคือ มาส์ก สเปรย์และเจลแอลกอฮอล์ ก็คิดว่า ถ้าลูกค้าต้องการ เราต้องหามาให้ จึงเริ่มผลิตแอกอฮอล์เจล และมาส์ก ที่เป็นของตัวเอง เริ่มจากการที่ผลิตมาแจก จนมาถึงการทำมาผลิตให้กับลูกค้า แต่ก็ยังมีคำถาม ว่าของที่เรามี คนอื่นในตลาดก็มี แล้วทำยังไงถึงจะขายดีกว่าคนอื่น

วิธีการที่ทุกคนนำไปใช้ได้เลย เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้น อย่างแรกคือตั้งสติ ปรับทัศนคติ ทำให้เกิดทางเลือก แล้ววิธีแก้ปัญหาจะตามมา

สำหรับร้านฌาบีบี ก่อนมีโควิด ไม่ได้เน้นการขายเดลิเวอรี่ เนื่องจากเมนูแป้งของที่ร้านนั้น เน้นทานร้อน ทานที่ร้านจะอร่อยที่สุด แต่เมื่อต้องปิดหน้าร้านจากสถานการณ์โควิด ยอดขายหายไปกว่า 90% จึงรีบประชุมทีม ปรับบรรจุภัณฑ์ และวัตถุดิบจากเมนูที่มี ถ่ายรูปและทำการโปรโมทตามช่องทางต่างๆ และเริ่มทำการตลาดด้วยการออกไปส่งของ หาลูกค้าด้วยตัวเอง ในทุกครั้งที่ออกไปทำให้สามารถนำข้อมูลต่างๆกลับมาประชุมทีม พัฒนา ปรับปรุง ทั้งการขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และคุณภาพของอาหารให้ดีขึ้น จนกระทั่งยอดขายกลับขึ้นมาถึง 500%

จุดเด่นของร้านฌาบีบี คือ แป้งอินเดีย กินคู่แกงไทยมุสลิม เสริมด้วยบรรยากาศของร้านตกแต่งสไตล์คาเฟ่ เป็นร้านอาหารฮาลาลที่เปิด 11.00-02.00 น.
นอกจากคุณภาพ และความอร่อยแล้ว เมนูของร้านฌาบีบี ยังมีความครีเอทีฟ เป็น unique selling point ของร้านเพิ่มเข้าไปอีก ผู้ประกอบการที่มีความจริงใจ เป็นหัวใจที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้า และยังสนับสนุนกันในยามที่เจอปัญหาได้

ทั้งสองท่านคิดว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ที่สายป่านไม่ยาว ควรบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างไร

ในมุมมองคุณแคทลียา ธุรกิจขนาดกลางและเล็กก็มีความสามารถที่จะปรับตัวได้ง่าย คุณแคทลียาให้ความสำคัญกับ การวางแผนกำหนดการจ่ายเงิน และตรวจสอบกำหนดรายรับ เพื่อให้เพียงพอค่าใช้จ่าย

ในส่วนการทำงาน ก็ระดมสมองกับทีมงานว่าธุรกิจ หรือส่วนงานไหนที่พอจะสามารถทำให้เกิดรายได้ในช่วงเวลานี้ ยิ่งไปกว่านั้น คือการให้ความมั่นใจกับพนักงานว่า ตัวเราจะพาทุกคนผ่านไปได้ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าวิธีการไหนจะดีที่สุด แต่คุณแคทลียาเลือกที่จะไม่หยุดนิ่ง หากธุรกิจที่1 ไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็รีบหาทางธุรกิจที่2 หากพอเห็นทางเป็นไปได้ ก็ทดลองธุรกิจที่3 เพิ่มเติม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความหวังและกำลังใจของพนักงาน

ในมุมของร้านอาหาร เริ่มจากประมาณการรายจ่าย พูดคุยกับพนักงานต่างชาติว่าต้องการกลับบ้านหรือไม่ ทำให้ลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง วันแรกที่เริ่มปิดร้าน ตรวจพบสต็อควัตถุดิบอยู่เต็ม จากการเตรียมขายปกติ เมื่อพูดคุยกับหุ้นส่วน จึงเลือกใช้วิธีการโปรโมททุกเมนูที่มี ภายใน 1 สัปดาห์ ยอดสั่งอาหารกลับมามากกว่าปกติ จนต้องทำการจ้างคนเพิ่ม เนื่องจากแป้งโรตีเป็นเมนูที่ต้องใช้การทำมือ ทำให้ได้เพิ่มรายได้ให้แก่คนที่ว่างงานช่วงเวลานั้น และจากการฟื้นตัวได้เร็ว จึงไม่ได้กระทบกับกระแสเงินสดมากนัก เพราะมีรายได้จากการประชาสัมพันธ์ออนไลน์

สำหรับร้านอาหารที่ ต้องการปรับตัว และสร้างความแตกต่าง คุณคงยศให้คำแนะนำว่าปัจจุบันลูกค้า สนใจการเล่าเรื่องมากขึ้น วัตถุดิบมาจากที่ไหน มีกระบวนการอย่างไร เป็นส่วนช่วยสร้างจินตนาการและบรรยากาศการทานอาหารให้ลูกค้ามากขึ้น และจากการสังเกต ลูกค้ามักจะเสียดายค่าขนส่งอาหาร คุณคงยศเองได้ติดต่อกับรุ่นน้องที่รวมทีมบริการส่งอาหาร และติดต่อคู่ค้าบริการส่งอาหารต่างๆ ในทุกช่องทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น

ปัญหาของร้านอาหารที่ทำเดลิเวอรี่ คือ ค่าขนส่งที่สูงกว่าราคาอาหาร เมื่อมีโปรโมชั่นลดค่าขนส่งก็สามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ความท้าทายจากยอดขายที่โตขึ้น คือ การทำอย่างไรที่จะใช้ช่วงเวลานี้ ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ต่อไปได้

การขยายจะผลให้ยั่งยืน สามารถนำเรื่องของการตลาดมาใช้ได้ โดยการให้ความสำคัญกับ Database ด้วยการเก็บข้อมูลง่ายๆ ในโปรแกรม Excel เพื่อนำไปต่อยอด สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเพิ่มเติมได้อีก
ลูกค้าคือคนที่จะบอกทิศทางว่า สินค้าหรือบริการอะไรที่ประทับใจ แล้วพร้อมที่จะสนับสนุนต่อไป
เรื่องราวของร้านฌาบีบี ที่บอกเล่าอย่างจริงใจ จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าร้านนี้ก็จะขายสินค้าดีๆอย่างจริงใจเช่นกัน

ในมุมของคุณแคทลียา สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว จะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีก

ในธุรกิจการทำการ์ดแต่งงาน ปัจจุบันมีรูปแบบที่ลดขนาดของงาน และพิธีการลง สำหรับคุณแคทลียาที่มองเห็นความชำนาญของธุรกิจตัวเองว่า เป็นการทำงานออกแบบ ที่ส่งเสริมให้ทำของชำร่วย และการ์ดแต่งงานได้ดี ธุรกิจหนึ่งของเราอาจจะเป็นการ์ดแต่งงาน แต่ของชำร่วยนั้น เมื่อนำมาประยุกต์ ผูกโบว์สีชมพูเป็นของชำร่วยงานแต่ง ผูกโบว์สีดำคือของชำร่วยงานศพ ใส่กล่องสวยเป็นของพรีเมี่ยม เมื่อเปลี่ยนมุมมองให้กว้างขึ้น ก็จะเห็นหนทางที่จะปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น ซึ่งคุณแคทลียาใช้ประเมินวิธีการต่างๆ ได้ใน1วัน ภายใน1วัน จะเห็นผลตอบรับที่เป็นไปได้ หากช้ากว่านั้น จะถือไม่รอด

สิ่งที่ทีมของเราเก่ง จะไปต่อได้ เมื่อเรามองเห็นว่าสินค้าหรือบริการที่เราทำอยู่ มีอะไรที่สามารถปรับออกมาใช้ได้ การนำเจลแอลกอฮอล์ และมาส์ก มาจัดเป็นของพรีเมี่ยมก็ทำให้แตกต่าง

สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ระยะสั้น หลังกลับมาเปิดร้านได้ ต้องพร้อมรับลูกค้าหน้าร้าน ไปพร้อมกับการเตรียมเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะคนเริ่มคุ้นชินกับการสั่งอาหาร การออนทัวร์ก็จะขยายพื้นที่ ให้คนรู้จักและนำคนมาหน้าร้าน สุดท้ายก็ต้องดูพฤติกรรมลูกค้าและปรับตัวอยู่เสมอ

ความฝันของร้านอาหาร เมื่อขยายจากสาขาที่1 ไปสาขาที่2 จะรู้ได้อย่างไรว่าเราพร้อมจะขยายสาขาแล้ว และการเลือกทำเล ต้องทำอย่างไร

จากที่เปิดร้านมา6-8เดือน เห็นผลตอบรับที่ดี เกิดความมั่นใจว่าจะไปต่อได้ เมื่อตัดสินใจขยายสาขา จึงเริ่มที่จะทำความเข้าใจลูกค้า หากเลือกเปิดในพื้นที่ของคนมุสลิม ก็จะมีร้านอาหารในพื้นที่ ซึ่งทำให้พิจารณาว่า ควรขยับออกมาในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ได้ลูกค้ามุสลิม และลูกค้าทั่วไป เข้าถึงได้ง่ายด้วย

การเลือกตามกลุ่มเป้าหมาย และ พฤติกรรมของลูกค้า เลือกพื้นที่ใกล้เคียง ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจในรูปแบบที่ลูกค้าของเราชอบ คือ หัวใจของการมีหน้าร้าน

ขอให้ทั้งสองท่าน ฝากแนวคิดทิ้งท้าย

คุณแคทลียา – ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการรีดค่าใช้จ่ายที่พอกพูน รีดศักยภาพของทีมงานที่ยังนำออกมาใช้ไม่เต็มที่ และอย่าท้อแท้ง่ายๆ คนที่ชนะคือคนที่ทดลองไปเรื่อยๆ จนพบทางที่ใช่ ขอให้มีความสุขกับการต่อสู้กับโควิด หลังจากนี้เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้น และสนุกกับการททำธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะมีคลื่นอะไรเข้ามาในชีวิต เราจะผ่านไปได้

คุณคงยศ – ธุรกิจร้านอาหาร หัวใจการเอาตัวรอดตอนนี้คือ ออนไลน์และเดลิเวอรี่ เป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของยุคปัจจุบัน อย่าจำกัดตัวเอง หมั่นพัฒนาตัวเอง และสร้างความน่าสนใจในการดึงดูดลูกค้า passionในการทำธุรกิจ ไม่ยอมแพ้ passionในอาหาร นำมาเขียนเรื่องราวจนลูกค้าอยากลอง ส่งต่อพลังให้ทีม และพาร์ทเนอร์

สรุปสุดท้าย หัวใจของความเปลี่ยนแปลง คือการไม่ยอมแพ้ พยายามอย่างไม่ท้อ ดึงศักยภาพที่ยังไม่ถูกใช้ออกมา ขอให้ทุกท่านผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างปลอดภัย

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาฯ ของมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

2.5k
SHARE

ประกาศผล!

ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาฯ
ของมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย
มีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน 16 คน จากผู้สมัครรับทุนจากมูลนิธิฯ จำนวน 44 คน

ขอแสดงความยินดีกับนิสิต นักศึกษาๆ ทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้

ทั้งนี้ขอให้นิสิตนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือก ส่งอีเมล์ไปที่ : [email protected] (คุณฝน) เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนโดย
1. แจ้งชื่อ – นามสกุล – ชื่อเล่น
2. แจ้งชั้นปีที่ศึกษาอยู่ปัจจุบัน
และขอให้นิสิตนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือก เข้าร่วมกลุ่ม line Official (@matsociety อย่าลืมใส่เครื่องหมาย@นำหน้า) และ Facebook (MAT Society) เพื่อรับข่าวสาร และการนัดหมายในอนาคต

หมายเหตุ :
– นัดรายงานตัว วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563  เวลา 12.00-15.00 น.
– แต่งกายชุดนักศึกษาถูกระเบียบ (ผู้หญิงใส่กระโปรงยาว รองเท้าหุ้มส้น ผู้ชายผูกไทด์)

หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ  สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย 02-679-7360-3  (คุณฝน)

ประกาศผลรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา ปี 2563

 

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

ภาพบรรยากาศงานประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2563 และสัมมนาพิเศษ

2.5k
SHARE
 

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2563 เวลา 13.30 น. ณ โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์ เทอมินอล 21 ห้อง Grand Ballroom และได้เชิญสมาชิกเข้าร่วมประชุมพร้อมอัพเดตเทรนด์ ไปกับสัมมนาพิเศษ“The changing trend of social commerce in Thailand” โดย คุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์ Co-Founder, Small World for Kids Co.,Ltd. และ เป็น 1ใน10 Facebook Alpha Tester ของไทย

หลังจากนั้นเเริ่มการประชุมใหญ่ สามัญประจำปี 2563 แถลงผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ของสมาคมการตลาดฯและมูลนิธิเพื่อการศึกษาฯ โดย คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมฯ , คุณบุรณิน รัตนสมบัติ เลขาธิการสมาคมฯ ,คุณวิไลวรรณ กาญจนกันติ กรรมการเหรัญญิก และดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมแถลงผลงาน โดยผลงานตลอดปีที่ผ่านมา อีกทั้ง สมาชิกยังได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและซักถามทำความเข้าใจในระบบการดำเนินการของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และนับเป็นโอกาสอันดีที่สมาชิกได้มาพบปะพูดคุยกัน ตลอดจนการให้ข้อเสนอแนะและความเห็นชอบ เพื่อคณะกรรมการดำเนินการจะได้นำไป พิจารณาเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และสิ้นสุดที่การเลือกตั้งนายกสมาคมการตลาดฯ วาระช่วง 2563 – 2565 ในปีนี้ คุณอนุวัตร เฉลิมไชย​ Head of Ceramics Business บริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัด มหาชน ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมการตลาดฯคนใหม่

สมาคมการตลาดฯต้องขอขอบคุณสมาชิก และผู้ให้การสนับสนุนทุกท่าน หากเพียงลำพังที่คณะกรรมการบริหารสมาคมการตลาดฯ คิดทำโครงการต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วไม่มีแรงสนับสนุนจากจากทุกฝ่าย สมาคมการตลาดฯ คงไม่ยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง และสร้างสิ่งดีงามเพื่อวงการการตลาดของไทยมาจนถึงในวันนี้🙏🙏

 

 

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

MAT Vaccine For Business EP.4

2.5k
SHARE

Tribal Marketing การตลาดหมู่เฮาช่วยเรายามโควิด

วันนี้มีแขกรับเชิญ 3 ท่าน คือ
คุณภาวรินทร์ รามัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน”
คุณปาณพล จันทรสุกรี ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “จุฬาฯมาร์เก็ตเพลส”
คุณอนัณทินี จิตจรุงพร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและกลยุทธ์การสร้างแบรนด์

หัวข้อในวันนี้ มาจากบทความที่คุณทินีเขียน เกี่ยวกับ Tribal Marketing เลยจะขอเริ่มต้นให้ที่มุมมองและประเด็นของ Tribal Marketing ว่าคืออะไร

Tribal Marketing เป็นคำที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง จากเมื่อก่อนใช้อธิบายวิธีการทำการตลาดกับคนที่มีทัศนคติ และนิสัยที่เหมือนกัน เช่น กลุ่มคนรักบิ๊กไบค์ กลุ่มคนรัก Luxury Brand ก็จะมีเว็บไซต์ที่เจาะกลุ่มคนเหล่านี้
ในมุมของตลาดออนไลน์ หรือ มาร์เก็ตเพลสของสถาบันต่างๆ จะกลับกันนิดนึง คือ สร้างตลาดให้กลุ่มคนที่เหมือนๆกัน ในทางที่ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน ความเจ๋งของตลาดเหล่านี้คือ เกิดมาก็เป็นคอมมูนิตี้เลย มีความไว้เนื้อเชื่อใจในการคุย และ ขายของ เหมือนช่วยพี่น้องของเรา ในมุมของความเชื่อใจที่ว่า กลุ่มของเรามีมาตรฐานที่ดี และไม่หลอกลวงกัน ไม่เป็นไปในเชิงความรู้สึกของการซื้อขายซะทีเดียว เหมือนมาเจอเพื่อนเก่า มาแชร์เน็ตเวิร์คกันในกลุ่ม

เมื่อพบว่าเกือบ 90% ของสิ่งที่เราใช้ ที่เรารู้จัก เป็นของเพื่อนเราหมด เป็นคน Tribe เดียวกัน ก็ทำให้เกิดความอยากใช้เพิ่มขึ้น

ในช่วงเวลาที่เฟสบุ๊ค Social media มีแต่ความทุกข์ หมดหวัง เต็มไปด้วยเรื่องราวของการค้าขายไม่ได้ เศรษฐกิจไม่ดี ปัญหาอื่นๆอีกมาก เมื่อเกิดกรุ๊ปนี้ขึ้น มันมีความหวังที่เกิดขึ้นอย่างไม่ธรรมดา ที่หลายคนก็รอดได้เพราะ Marketplace ชนิดนี้ ที่ไม่ว่าจะขายอะไรก็มีคนพร้อมที่จะสนับสนุน

ที่มาของ กลุ่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน

คุณภาวรินทร์ เป็น 1 ใน คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด จากงานที่ทำอยู่ในธุรกิจบริษัทท่องเที่ยว ในช่วงแรกของเดือนเมษายน ที่ต้องอยู่บ้าน แล้วพบว่าทุกคนหมองหม่น ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว ธุรกิจของเพื่อนๆต้องปรับตัวสู่การทำออนไลน์ และสั่งกลับบ้าน รวมไปถึงเพื่อนที่ไปชอปปิ้งทุกวัน ก็ออกไปไหนไม่ได้ ทุกคนอยู่ในภาวะที่โดนล็อคไว้หมด ไม่ว่าจะคนขายหรือคนซื้อ

ซึ่งจากการที่มีเพื่อนๆหลายคณะ ทำให้เห็นว่า เพื่อนๆขายของอะไรกันบ้าง และก็ได้เห็นเพื่อนที่ตามหาของกิน เป็นที่มาว่า อยากให้คนเหล่านี้มาเจอกัน จึงสร้างกรุ๊ปให้ทุกคนมาอุดหนุนกันเอง จากการเริ่มต้นชวนเพื่อน 30 คน ที่รู้จักกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนที่เข้ามาโพสขายของจะเป็นการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง มีความสนุก ความเพลิดเพลินที่จะพูดคุยกัน คลายเหงา แล้วก็เกิดการชวนเพื่อนต่อ กลายเป็น 200 คน ภายในไม่กี่ชั่วโมง ไปจนถึง 2,000 คน ใน 3 วัน จนไปถึงหลักแสน

ในส่วนของจุฬาฯมาร์เก็ตเพลส

จากการทำงานในสาย Marketing Agency ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในช่วงที่หยุดพัก จึงผันตัวมาขายขนมของคุณแม่ ใน Social media ช่องทางต่างๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นคือ รุ่นพี่ที่ทำงานซึ่งต้องการสนับสนุน ได้ช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านกรุ๊ปไลน์ของนิติบุคคลหมู่บ้าน จากสมาชิกจำนวน 3-4 ร้อยคน แต่มียอดขายที่ใกล้เคียงกับบนหน้าเพจ facebook และมียอดขายที่ต่อเนื่อง ทำให้คุณปาณพลได้ตั้งข้อสังเกต ว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นช่องทางขายของที่ดี รวมไปถึงการได้เข้าไปในกลุ่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้านเห็นกระแสที่ดี อีกทั้งยังไม่เห็นใครริเริ่มในฝั่งจุฬาฯ ก็ตัดสินใจเริ่มสร้างกรุ๊ปขึ้นมา ทำให้ 18 ชั่วโมงแรก มีสมาชิก 10,000 คน และ 100,000 คน ใน 4 วัน

หัวใจความสำเร็จจากทั้งสองกรุ๊ป

กล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเดิมๆ ในสภาวะที่คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งสองผู้ก่อตั้งคือผู้ที่มองเห็นว่าถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร ก็จะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง อีกสิ่งหนึ่ง คือการเชื่อมคน เมื่อก่อนคนจะบอกว่ามี demand จึงเกิด supply แต่ มาร์เก็ตเพลส รูปแบบนี้ คือการมี supply แล้วทำให้เกิด demand ที่เรายังไม่รู้เลยว่าต้องการ

พูดถึงกรณีที่ไม่เคยคิดว่าจะเห็นบนการขายออนไลน์
คุณภาวรินทร์เล่าถึงกรณี มีคนที่ทักเข้ามาทักทาง inbox ว่าอยากขายสบู่นกแก้ว จากราคาที่หาซื้อได้ 9 บาท จะขายในราคาก้อนละ 100 บาท จากการรับฟังเรื่องราวกว่า 3 ชั่วโมง ในความพยายามที่จะนำเสนอ และสร้างคุณค่าให้กับสินค้า สามารถโน้มน้าวใจ ให้คุณภาวรินทร์ตัดสินใจซื้อได้ ถ้าสามารถที่จะสร้าง Value ให้สินค้าได้ ก็มีคนพร้อมจะอุดหนุน ซึ่งตัวผู้ขายเองก็มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนที่จะขายให้กับผู้ที่ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปซื้อเอง ถึงได้ตั้งราคาที่สูง

ปัจจัยอื่นๆ อไรที่ทำให้การตั้งกรุ๊ปทั้งสองนี้ประสบความสำเร็จ

สิ่งที่กระตุ้นทำให้คนกล้าที่จะซื้อ หรือแม้แต่การบอกต่อในกลุ่มไลน์ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่าย เกิดจาก pain point ที่ผู้ขายไม่สามารถขายหน้าร้านได้ ผู้ซื้อเองก็ออกจากบ้านไม่ได้ เมื่อมีกลุ่มคนที่ขายของจึงมาตอบโจทย์นี้ แล้วเมื่อพบว่าของที่เราอยากจะซื้อ ถูกขายโดยพี่น้องสถาบันเดียวกันของเรา ทำให้ได้ระลึกความหลังร่วมกันด้วย

อีกมุมนึง ที่นักการตลาดพูดถึง Social Media Marketing สิ่งนึงที่ผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือรีวิวของลูกค้า
เมื่อเป็นการรีวิวจากพี่น้อง ทำให้ความเชื่อใจ และมั่นใจในคุณภาพมากขึ้นไปอีก

ความสำเร็จในมุมของ มาร์เก็ตเพลสต่อจากนี้ สองผู้ก่อตั้งมองการต่อยอดอย่างไรบ้าง

คุณปาณพล อยากให้เกิด offline market เพราะเข้าใจถึงการกลับออกไปใช้ชีวิต มาเจอกันจริงๆ อยากพัฒนา feature ที่มาสนับสนุนรูปแบบของการขายในกรุ๊ป เช่น การจับคู่ธุรกิจ หรือการมีดีลพิเศษให้สมาชิกในกลุ่ม ที่สามารถเกิดเป็นอำนาจต่อรองได้

คุณภาวรินทร์ เห็นภาพที่ใกล้เคียงกัน จากการอยู่ในวงการออแกไนซ์เหมือนกัน อายุรุ่นเดียวกัน เมื่อมีปัญหา ต้องปรึกษาเรื่องในกรุ๊ปก็คล้ายๆกัน สามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วนำมาปรับตามวัฒนธรรมของแต่ละมหาวิทยาลัย เพียงแต่ว่า เรื่องออฟไลน์ตลาด ทั้ง 2 มหาลัย เป็นที่รู้จัก ถ้าจับมือกัน ทำงานแฟร์า คู่กับงานฟุตบอลประเพณี เรามั่นใจว่าสามารถทำได้

ในมุมของคนซื้อ-ขาย มีมุมมองในโอกาสอื่นๆที่ควรคิดต่อยอดอย่างไร

เนื่องจากกรุ๊ปนี้ตลาดที่ใหญ่ และหลากหลาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การจับคู่ธุรกิจ อีกส่วนหนึ่งคือ ฐานข้อมูลลูกค้า ที่นำไปต่อยอดในด้านอื่นๆต่อได้

และในวัฒนธรรมของแต่ละตลาดก็จะไม่เหมือนกัน คาแรคเตอร์ วิธีโพสขาย บรรยากาศ ก็จะเป็นคาแรคเตอร์เฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์เน้นขายตัวเอง personal branding และ story telling ทางจุฬา จะเป็นเชิงเนื้อหาสาระ และฟังก์ชั่นของสินค้า โพสอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ซึ่งที่พูดถึงวัฒนธรรมของตลาดเพราะ เมื่อต่อไปตลาดเป็นเชิงการค้ามากขึ้น ก็อยากให้รักษาตัวตนของตลาด จากจุดเริ่มต้นเอาไว้ เพราะกลุ่มลูกค้า หรือผู้ค้าในแต่ละตลาดก็ไม่เหมือนกันด้วย

ม.ร.ว.สุทธิภาณีเสริม เรื่องการโพสถึงฟังก์ชั่นสินค้า และบอกว่าเราขายอะไร ในส่วนของการทำ branding ที่นอกเหนือจาก personal branding ตลาดมาร์เก็ตเพลสนี้ ถือเป็นหมัดฮุกระยะสั้น ซึ่งในระยะยาว ต้องไม่ละเลยการสร้าง branding การทำ CRM และ ฐานข้อมูล ที่ได้จากโอกาสนี้ นำไปสร้าง engagement ต่อยอดมาสู่หน้าร้าน หรือเพจของเรา เมื่อต่อไปสถานการณ์กลับไปเป็นปกติ คนจะไปชอปปิ้งในช่องทางที่หลากหลาย หรือมีมาร์เก็ตเพลสอื่นๆเกิดขึ้น ในฐานะคนที่ทำแบรนด์ไม่ควรละเลย ที่จะทำให้คนจดจำเรื่องราวของเรา ว่าแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร

Branding ของสินค้าที่ไม่ค่อยแตกต่าง อย่างผลไม้ หรือขนมหวาน ที่มีหลากหลาย ไม่ใช่ปัญหาลูกค้า แต่เป็นปัญหาของร้าน Branding เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้จัก ในสิ่งที่เราอยากให้ลูกค้ารู้จัก แล้วจำได้ โดยที่อาจจะไม่ได้มีโลโก้อะไรสวยงาม เช่น จีฉ่อย (ร้านขายของชำ ชื่อดังของตลาดสามย่าน) Branding สามารถทำได้ผ่านตัวสินค้า functional benefit อีกทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสิ่งที่ทำให้ชัดได้ คือ คาแรกเตอร์ของร้าน ผ่านที่มาที่ไป หรือ การให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า ทำให้คนรู้จักและจดจำว่าเราเป็นร้านที่มีความชำนาญ

กรณีที่โพสขายแล้วประสบความสำเร็จ ร้านนั้นมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

ในมุมของตลาด จุฬาฯมาร์เก็ตเพลส ให้แสดงตัวตนว่าคุณคือคนของมหาวิทยาลัย ต่อมาเป็น ความใส่ใจในเรื่องราว รูปภาพ และคลิปวิดีโอ ให้สร้างสรรค์ สร้างความแตกต่าง ดึงให้เพื่อนๆมีส่วนร่วม จะทำให้โพสต์มี engagement ที่ดี

ทางฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน คุณภาวรินทร์กล่าวว่า ตลาดนี้เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นหลัก ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ควรมีความซื่อสัตย์และมีเจตนาที่ดีต่อกัน เป็นเรื่องสำคัญ

ด้วยลักษณะของกรุ๊ป จะเปลี่ยนไปตามความนิยม โพสที่เป็นที่นิยมจะขึ้นอยู่ด้านบน การทำให้ content ของเราน่าสนใจ จะช่วยให้คนเป็นจำนวนมากมองเห็นโพสของเรา

สรุปหัวใจความสำเร็จจากที่พูดคุยมา ที่ไม่ว่าจะทำการขายที่ไหน ก็ควรมี 4 สิ่งนี้
  • Authenticity ของคนขาย ความจริง ความชัด ยิ่งในกลุ่มตลาดปิด จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
  • Content จะสร้าง engagement ให้ ต้องมีรูปภาพและเรื่องราวที่สร้างสรรค์
  • สร้าง Engagement ง่ายๆ โดยการชวนเพื่อนมาพูดคุย รีวิว ซึ่งเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของตลาด Tribal
  • ความซื่อสัตย์ ขายของตรงตามที่บอก มีคุณภาพดี เพราะโฆษณาจะทำให้คนหลงมาซื้อสินค้าคุณได้แค่ครั้งเดียว เขาจะมาซื้ออีกหรือไม่ อยู่ที่คุณและสินค้าของคุณดีจริงไม่ ที่จะทำให้เขากลับมา
Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

MAT Vaccine For Business EP.3

21
SHARE

คิด Content ยังไง ให้โดนใจ และสร้างยอด?

หัวข้อในวันนี้ เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การขายของประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องของการคิด Content ยังไง ให้โดนใจ และสร้างยอด? โดยแขกรับเชิญคือ
คุณณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ผู้ก่อตั้ง บริษัท dots Consultancy ในการทำ Training ด้านการตลาดดิจิทัล และเป็นเจ้าของบล็อก nuttaputch.com
คุณจักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท นันยาง มาร์เก็ตติ้ง

Content Marketing คืออะไร?

โดยนิยาม คือ กระบวนการที่ใช้ content เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการตลาดต่อธุรกิจของคุณ ในลักษณะ ภาพ วิดีโอ อีเว้นท์ เสียง มันคือการสื่อสาร ที่ถูกตกแต่งให้ชัดเจนขึ้น

ในสมัยก่อน มักจะพบในรูปแบบของโฆษณา แต่จริงๆแล้วการสื่อสารมีมากกว่านั้น และไม่ใช่เพียงการขายของ ยังมีการช่วยเหลือ การให้ความรู้ หรือโน้มน้าวใจ ในหลายๆวิธี มิติของการสื่อสารทางการตลาดจึงมีมิติ และความหลากหลายมากขึ้น ถ้าพูดให้ง่าย ก็คือทักษะการสื่อสารนั่นเอง แอดมินตอบข้อความ ก็เป็นคอนเทนต์ กลิ่น ก็เป็นคอนเทนต์ เช่น ธุรกิจสปา ร้านอาหาร

Content คือ ข้อมูลที่เราสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา

Content ทึ่ดี ไม่เท่ากับ Content ที่ดัง

การสื่อสารที่ดี คือการสื่อสารที่บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การทำให้รู้จัก ทำให้ชอบ ทำให้สนใจ ทำให้อยากซื้อของ ทำให้หยุดด่า ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไร

ถ้า Content ที่ดัง คือ การเข้าถึงคนเยอะ แล้วถ้าเป็นการเข้าถึงคนเยอะ ในแง่ลบ ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์
หัวใจสำคัญ ที่คุณณัฐพัชญ์ พูดเสมอ “สำหรับผม ผมไม่ได้คิดว่ากำลังสอนให้คุณทำให้ content ดัง แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณกำลังทำ content marketing ที่ดี คุณรู้รึเปล่าว่า content ที่ดีแปลว่าอะไร และคุณทำ content เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้นรึเปล่า” เช่น นันยางต้องการให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา เพื่อเป็นที่สนใจมากขึ้น ถ้าทำสำเร็จ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าเกิดว่าดังจริง แต่เป็นกระแสลบ ก็ไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จ

ทำไมเราถึงมักจะขีดความสำเร็จ ที่ตัวเลข view, like, share?
การทำ content ที่ดี คือ content ที่สามารถทำให้เกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือ ทำให้คุณบรรลุประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลข view, like, share

ผลประโยชน์ทางธุรกิจ คืออะไร?
คนจำ คนรู้สึกสนใจ คนรัก มีแนวโน้มจะซื้อมากขึ้น

คุณจักรพล กล่าวว่า ในกรณีของนันยาง ไม่ใช่แค่สร้างความรัก ความสนใจ แต่ยังสร้างยอดขายได้ด้วย ให้เริ่มจากหลักการพื้นฐาน ของ marketing คือ การบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งก็คือ การขายได้ ไม่ว่าจะทำการตลาดในรูปแบบไหน สุดท้ายแล้วต้องขายได้ การเป็นที่รู้จัก ถ้าขายไม่ได้ ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้
การตลาด คือ เราจะทำยังไงที่จะช่วยให้ขายได้ ถึงจะเป็นสินค้าที่เหมือนกันหมดอย่าง น้ำมัน น้ำตาล น้ำเปล่า รองเท้า แต่การตลาด จะทำให้แตกต่าง โดยส่วนผสมของการตลาดต่างๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง content น่าจะทำให้สินค้าเราแตกต่าง ถ้ามันโดนใจลูกค้า ลูกค้าก็จะเลือกเรา

นันยาง มีรองเท้า 2 ประเภท คือ รองเท้าแตะช้างดาว และ รองเท้าผ้าใบ(พื้นเขียว) เป็นตลาดหลัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มคิดว่าการทำสินค้า limited edition ก็เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการทำสื่อสารการตลาดเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจจะได้เงินกลับมา หากสินค้าสามารถทำยอดขายได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เงิน 20 ล้านบาท ในการลงโฆษณาทีวี 15 วินาที แต่เราทำ content ที่พยายามให้เกิด talk

ซึ่งจุดเริ่มต้นของ NanyangRED Limited Edition (2019) ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว จากลักษณะแฟนบอลของทีมลิเวอร์พูลที่ชอบท้าทาย “ถ้าทีมได้แชมป์จะ…” นันยางจึงจับคาแรคเตอร์นั้นมา ประกาศว่า ถ้าทีมลิเวอร์พูลได้แชมป์ “เราจะทำรองเท้าสีแดง” ซึ่งได้มีการวางแผนทั้งในกรณีที่ชนะ และไม่ชนะ ทำให้เกิดเป็นกระแสพูดถึงในระดับหนึ่ง แต่ผลการแข่งขันรอบนั้น ไม่สามารถได้ชัยชนะมา แล้วมาคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ทางฝั่งยุโรป ในภายหลัง ทางนันยางจึงตัดสินใจ ที่จะผลิตรองเท้าตามแผนเดิม เกิดเป็น content ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากวันที่ประกาศท้า ประกาศผลิต และวันที่เปิดขาย ในเวลา 90 นาที มียอดขาย12,000 คู่ content นั้นยังต่อเนื่องจนถึงวันที่ ส่งสินค้าหลังจากนั้น 1เดือน ระยะเวลานั้นทั้งหมดนั้นต่อเนื่องมากว่า 4 เดือน

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น คือ การเข้าใจคาแรคเตอร์ของแบรนด์อย่างชัดเจน แล้วรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ก็สามารถทำให้เกิดการสร้างบทสนทนาในเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายนั้นสนใจ มาเป็นประเด็นในการพูดคุยกัน เกิดการดึงความสนใจให้มีส่วนร่วมกัน

ยอดขายที่ธุรกิจคาดหวัง เกิดขึ้นจากหลายส่วน คนซื้อโดยตรง การแนะนำให้ซื้อต่อ หรือการซื้อในภายหลัง นั่นคือ สิ่งที่ทำให้การตลาดมีสเน่ห์ เพราะขึ้นอยู่กับกลวิธีที่จะสร้างยอดขายจากส่วนที่แตกต่างกัน

กรณีของ NanyangRED อาจวิเคราะห์ได้ว่า ยอดขายไม่สำคัญ แต่การทำให้แบรนด์นันยางกลับมาเป็นที่รู้จัก และทำให้คนสนใจ จนทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อภายหลัง ซึ่งในความเป็นจริง ทางแบรนด์เองก็มองถึงกรณีการสื่อสารเพื่อให้เป็นที่รู้จัก เป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากสินค้าหลัก ยังเป็นสินค้าชนิดเดิมๆอยู่ ดังนั้นเมื่อวันนึงที่ลูกค้าจะต้องเลือกซื้อรองเท้านักเรียน ก็อยากให้นึกถึงชื่อของนันยางเป็นอันดับแรก ในทางกลับกัน ภายในแบรนด์ก็เกิดการเรียนรู้ที่จะทำการตลาด และได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อแบรนด์ เพื่อนำกลับมาวิเคราะห์และพัฒนาต่อไป

ถ้าการจะประสบความสำเร็จไม่ได้มีสูตรตายตัว แบรนด์เล็กๆ จะเริ่มต้นอย่างไร?

Content จะเป็นเรื่องปลายทางของกระบวนการทางการตลาด แต่เป็นสิ่งแรกๆที่คนสัมผัสทำให้คนคิดว่ามันสำคัญ แต่ถ้าเปรียบเป็นหัวหอม Content จะเป็นเปลือกนอกสุด ที่คนเห็นและจับต้องได้เร็ว แต่จริงๆแล้วแก่นข้างในที่สุดคือ การเข้าใจ Strategy หรือการเข้าใจว่าปัญหาของคุณคืออะไร วิธีแก้ปัญหาก็จะขึ้นอยู่กับบริบทของสถานการณ์นั้นๆ

ยกตัวอย่าง แม่ค้าผลไม้ การต้องขายฝรั่งหนึ่งลังให้หมด คำถามคือคุณจะขายใคร แล้วตอนนี้ยังขายไม่ได้เป็นเพราะอะไร

ถ้าที่ตลาดไม่มีคนขายฝรั่งเลย แล้วลูกค้าไม่รู้ว่าเราขายอะไร เราก็ต้องตะโกนบอก ว่าเรามีฝรั่งขายนะ เป็นต้น แต่ถ้าร้านข้างๆ ขายฝรั่งเหมือนกัน แปลว่าปัญหาของคุณเปลี่ยน แต่ทำยังไงที่เราจะขายฝรั่งได้โดยที่ร้านข้างๆก็ขายเหมือนเรา

ยกตัวอย่าง ผู้ชายจีบสาวจีบอย่างมีคู่แข่งกับไม่มีคู่แข่ง ก็คิดและใช้วิธีการต่างกัน

อย่าสนใจสูตรสำเร็จ แต่สนใจการเข้าใจปัญหา ปัญหาของคุณคืออะไร

สำหรับบางธุรกิจต้องมีทั้งการขายและสร้างแบรนด์ในระยะยาว แต่ถ้าคุณเป็นร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่ต้องสนใจการสร้างแบรนด์ เน้นการขาย ก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง
คุณควรจะรู้ 2 อย่าง ให้ถ่องแท้ คือ
รู้ตัวเอง คุณเป็นใคร ทำอะไร ขายอะไร สินค้าของคุณดี หรือด้อยอย่างไร ที่มากกว่านั้น ต้องรู้ว่าธุรกิจมีความสามารถในการผลิต เพื่อขายได้เท่าไหร่ในหนึ่งวัน เพื่อจะวางแผนการขายที่ดีได้
รู้ลูกค้า ของธุรกิจคุณ เป็นใคร อายุเท่าไหร่ ลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร และมีกี่คน

คุณจักรพล เผยว่า ส่วนตัวให้ความสำคัญกับเรื่องจำนวน capacity ของแบรนด์ จำนวนลูกค้าของเรา สินค้าของเราตอบโจทย์เหล่านี้ได้หรือไม่ ส่วนเรื่องตลาด หรือคู่แข่ง อาจจะเป็นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องเอาชนะคู่แข่งก็ได้ win-win ก็ได้ ถ้า demand มากกว่า supply แล้วเป็นสินค้าที่เหมือนกัน

คุณณัฐพัชญ์ เสริม เรื่องการรู้ตัวเองให้ถ่องแท้ รู้จักลูกค้า รู้มั้ยว่าลูกค้าเลือกเราเพราะอะไร เพราะจะทำให้คุณนำเสนอสินค้าและคุยกับลูกค้าได้ดี
ชวนคิดว่า จำเป็นมั้ยที่เซลล์ขายรถ ต้องพูดรายละเอียดทุกอย่างในแคตตาล็อค คำตอบคือ ไม่จำเป็น
เซลล์จะดูว่า ลูกค้าเป็นใคร ถามเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เซลล์ที่เก่งจะไม่รีบพูด แต่จะพยายามเข้าใจก่อน ว่าลูกค้าต้องการอะไร มีปัญหาอะไร เพื่อจะนำเสนอได้ถูก ว่าเป็นรถรุ่นไหน และนำเสนอฟังก์ชั่นไหนของรถ ในทางกลับกันเซลล์ที่ไม่เก่งจะท่องเป็นสคริปต์

กลับมาถามทุกวันนี้เจ้าของธุรกิจทำ Content แบบไหน? ทำ Content แบบที่จะพยายามเข้าใจลูกค้า หรือทำ Content ในสิ่งที่คุณอยากพูด

คุณว่าธุรกิจมีปัญหาข้อไหนระหว่าง เรื่องที่กำลังจะพูด กับ วิธีการเล่าเรื่อง?
90% คิดว่าตัวเองมีปัญหาวิธีการเล่า คิดว่าตัวเองมีทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไปฝากความหวังไว้กับเปลือกนอกของหัวหอม ที่เรียกว่า Content ซึ่ง Content มีประสิทธิภาพสำคัญ แต่มันจะทำงานได้ดีเมื่อคุณเข้าใจเรื่องอื่นของธุรกิจด้วย ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สินค้า หรือ บริการ ของคุณต้องดีด้วย

หัวใจของการตลาดอยู่ที่ลูกค้าของเรา  รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ใส่ใจของเราลงไปในใจของลูกค้า การขายของโดยพูดถึงแต่สิ่งที่เราอยากพูด มันไม่เคยทำให้เราขายของได้ แต่เราต้องพูด ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะรู้ หรือไปแก้ปัญหาให้กับลูกค้า

เปลี่ยนจากพูดเรื่อง Content มาเป็น เรื่องผู้ชายจีบผู้หญิงกัน
คุณเคยเจอผู้ชายที่พูดแต่เรื่องของตัวเองบ้างหรือไม่ ถ้าผู้ชายคือแบรนด์ ผู้หญิงคือลูกค้า ถ้าคุณพูดแต่เรื่องตัวเอง โดยไม่ได้สนใจลูกค้า คุณคิดว่าลูกค้าจะอยากคุยกับเรามั้ย

หลักการเดียว คือ คุณเข้าใจลูกค้าดีหรือเปล่า ถ้าคุณเข้าใจลูกค้าดี คุณก็รู้เองว่าต้องพูดอะไร ถ้าคุณใส่ใจความรู้สึกของคนที่คุณกำลังคุยด้วย คุณจะรู้เองว่าจุดไหนที่คุณจะต้องพอแล้ว จุดไหนที่คุณจะต้องเสริม แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นคือ เมื่อเจ้าของธุรกิจอยากได้ bottom line หรือยอดขาย แล้วรีบปิดการขาย ในมุมมองของลูกค้าที่เจอเซลล์ที่พยายามจะให้เราซื้อให้ได้ ก็จะรู้สึกไม่ดี เว้นแต่จะเป็นลูกค้าที่ต้องการสินค้านั้นมากๆ ก็จะคุยกันได้เร็ว

แม่ค้าขายฝรั่ง ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าคนไม่ซื้อฝรั่งเพราะอะไร ร้านข้างๆขายถูกกว่า หรือ คนแถวนี้ไม่กินฝรั่ง แล้วเราจะทำอย่างไร เปลี่ยนไปขายอย่างอื่น หรือ สร้างความอยากให้ลูกค้าอยากกินฝรั่งมากขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นหลุมพลางของคนทำสินค้า ที่มักคิดว่า คนน่าจะซื้อ เพราะว่าเราชอบ มองตัวเองแทนลูกค้า และมักขายในมุมมองว่าสินค้าเราดี ซึ่งต่อให้สินค้าเราดีที่สุด แต่ขายไม่ถูกกลุ่มลูกค้า ก็อาจจะขายไม่ได้เลย

การสื่อสารที่มักจะสมบูรณ์ เกิดขึ้นจากการคุยกับคนที่ใช่ คุยด้วยสื่อที่ใช่ และคุยด้วยเรื่องที่ใช่

การรู้จักลูกค้า ลูกค้าของเราก็มีหลากหลาย ปัจจัย 3 ข้อนี้ จะหมุนไป ไม่รู้จบ

กลับไปที่ตัวอย่างคนกินฝรั่ง ก็มีคนหลายกลุ่ม คนที่กินทุกวัน คนที่กินนานๆครั้ง คนที่กินต่อเมื่อมีคนซื้อไปฝาก เมื่อถามว่าสินค้านี้จะขายใคร ถ้าบอกว่าขายคนรักสุขภาพ ต่อให้คุณถามคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ว่ารักสุขภาพไหม เขาก็จะตอบว่ารัก การรักสุขภาพก็มีหลายแบบ คนที่ซื้อของคุณได้ กับคนที่น่าจะไปขายเค้า เป็นคนละคนกัน

คุณจักรพล พูดถึงนันยางว่า จะกำหนดคาแรคเตอร์ เพื่อที่จะทำ content หรือสื่อสารออกไป ให้เป็นเหมือน คนคนหนึ่ง ที่เป็น “เด็กชาย อายุ 16 ปี เรียน สายศิลป์ เกรดเฉลี่ยประมาณ 2.80 นั่งหลังห้อง อาจารย์ไม่ชอบ แต่เพื่อนๆชอบ” การสื่อสารของนันยาง ก็จะออกไปในลักษณะของเด็กคนนี้ ทำให้มีความต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเปลี่ยนคนทำ content ไปกี่คนก็ตาม

ในส่วนของลูกค้านันยาง นันยางสร้างลักษณะของกลุ่มพูดคุยที่สามารถมาแลกเปลี่ยนความเห็นได้ สุดท้าย เกิดการ co-creation ในการทำสินค้าร่วมกับสินค้าอื่น เป็น official ก็เกิดเป็น content ได้อีกแบบหนึ่ง ล่าสุด ช้างดาวทำรองเท้าแตะ รุ่นพิเศษ สีชมพูขาว, เหลืองแดง จากการมีคอมมูนิตี้ของจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ที่เป็นการ co-creation ระหว่างรองเท้ากับสีที่ associate ได้กับมหาวิทยาลัย

เพราะฉะนั้น Content ที่นันยางทำหลักๆ แบ่งเป็น 3C Charactor, Community, Co-Creation
Co-creation บางส่วนกับลูกค้า ก็เปิดประเด็นให้ลูกค้าช่วยคิดกันตรงๆ

ถ้าแบรนด์คุณมีคาแรคเตอร์ที่ชัด > เข้าถึงได้ > เกิดเป็นคอมมูนิตี้ > เกิดการร่วมมือกัน

พูดถึง Dynamic content ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นโอกาส ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อเพียงสื่อเดียว สื่อสารกับทุกๆคนเหมือนกัน

Dynamic content ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจอยากจะทำ คือ การคุยกับลูกค้า 1-1 เหมือนเพื่อน ไม่มีสคริปต์ แต่สมัยก่อนการบริหารจัดการเรื่องนี้ทำได้ยาก และสื่อกลางไม่อำนวย แต่ปัจจุบันเครื่องมือดิจิตอลช่วยให้หลายๆอย่างง่ายขึ้น นักการตลาดที่เห็นโอกาส ก็ทำให้สามารถขยายประสิทธิภาพ ให้เกิดความไดนามิกได้มากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าบริบทได้ดีขึ้น คือ เราสามารถคุยกับคนได้หลากหลายมากขึ้น สามารถคุยกับหลายคนโดยไม่ต้องพร้อมกันก็ได้ และ ไม่จำเป็นต้องคุยกับทุกคนด้วยข้อความหรือสื่อ ที่เหมือนๆกัน เมื่อศักยภาพในการทำ content เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า dynamic

ธุรกิจไม่จำเป็นต้องทำ Dynamic content ก็ได้ แต่ถ้าทำ ก็จะเป็นปัจจัยหนุน ให้มีโอกาสที่จะสื่อสารได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น เราจะรู้ว่าวิดีโอบน facebook คือ วิดีโอที่ถูกเล่นโดยการปิดเสียง เพราะฉะนั้นวิดีโอที่ใช้บน facebook ควรจะเป็นวิดีโอที่แม้จะไม่มีเสียงก็ดูรู้เรื่อง มันจะทำให้สามารถเพิ่มโอกาสในการดู Content ได้ดีขึ้น แต่วิดีโอลักษณะนี้จะดูน่าเบื่อเมื่ออยู่บน Youtube ในทางกลับกันวิดีโอบน Youtube ควรจะเป็นประสบการณ์เต็มรูปแบบ นั่นทำให้เราเข้าใจว่าบริบทการทำ Content และการสื่อสารบน Facebook Youtube Instagram โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา ไม่ควรจะเหมือนกัน หากต้องการทำให้เหมือนกันก็ทำได้ แต่อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ หรือเสียโอกาสบางอย่างไป ซึ่งถ้าธุรกิจมีศักยภาพที่จะทำ ก็ควรจะทำให้แตกต่าง เพราะย่อมดีกว่า แต่อย่างลืมว่าการทำแบบนั้นมีต้นทุน คุ้มค่าหรือไม่ หากคุณมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การทำ dynamic content นั้นก็ไม่คุ้มค่า ต้องหาจุดที่สมดุล

ถือเป็นความท้าทายที่จะหาจุดสมดุลที่ทำให้เรา dynamic และ dynamic ขนาดไหน ซึ่งก็ไม่มีตัวเลขที่ถูกต้อง เนื่องจากต้นทุนที่แตกต่างกันในธุรกิจ ความคาดหวัง และกลุ่มเป้าหมายของแต่ละธุรกิจก็ไม่เท่ากัน แต่หลักการ คือ ธรรมชาติมนุษย์มักจะชอบอะไรที่ถูกปรับแต่งมาให้เหมาะกับเราที่สุด

ถ้าเราไม่ได้ทำการปรับแต่งอะไรก็ได้ แต่จะเหมาะกับลูกค้าบางคน และเหมาะกับตลาดบางตลาด
เช่น ทิชชู่ ที่ขายหน้าห้องน้ำ ไม่ต้อง dynamic แต่ถ้าจะขายใน 7-11 ก็ควรจะต้อง dynamic
การตลาดเป็นปัญหาซับซ้อน ไม่สามารถถามแล้วมีคำตอบที่ตายตัวได้

สำหรับเนื้อหา Content Marketing ในวันนี้ ถ้าสรุปให้เข้าใจง่าย คือ การสื่อสาร แก้ปัญหาแบรนด์ และแก้ปัญหาลูกค้า ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่สามารถทำได้โดยเริ่มจาก

  1. ย้อนมองตัวเรา สินค้าของเรา ปัญหาขอเราคืออะไร และเรามีวัตถุประสงค์ทางการตลาดคืออะไรบ้าง
  2. ลูกค้าของเรา คิดเปรียบเทียบกับ การจีบคนซักคนพูดแต่เรื่องตัเองก็ไม่เวิค สนใจว่าเค้าต้องการอะไรเสนอสิ่งนั้น
  3. รูปแบบการสื่อสาร ไม่ตายตัว ลูกค้าอยู่ที่ไหน ลูกค้าต้องการอะไร จะ dynamic แค่ไหน วิเคราะห์สถานการณ์ ทำการบ้านก่อนที่จะทำการสื่อสารออกมา

ท่านสามารถเข้าไปรับชม ย้อนหลังได้ที่ Facebook fanpage : MAT Society
และขอฝากให้ทุกท่านติดตามรับชมสด ทุกวันอังคาร เวลา 2 ทุ่มตรง

 


ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

ขอเชิญร่วมรับฟัง, พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในงานสัมมนาออนไลน์ EdTeX WEBINAR#1

2.5k
SHARE

เมื่อแนวทางการเรียนการสอนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป…!

การเรียนการสอนของไทยในปัจจุบันจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับโลกอนาคตที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา กอปรกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รูปแบบการเรียนการสอนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีด้านการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเรียนการสอนมากขึ้น ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อการบรรยายเท่านั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังช่วยในเรื่องการประมวลผล การออกแบบข้อสอบ การใช้สถิติเพื่อประเมินคุณภาพการเรียนการสอน การติดตามการส่งงาน และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อช่วยสร้างแนวคิด การเรียนการสอน และสร้างแรงบัลดาลใจให้แก่ผู้เรียนและผู้สอน

EdTeX WEBINAR#1 กับวิทยากรพิเศษ
คุณไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ดดูเคชั่น เทคโนโลยี จำกัด
ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองโลกการศึกษาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่จะขับเคลื่อนประเทศในอนาคต

ที่จะมาแชร์เรื่องราว, ประสบการณ์และแรงบันดาลใจในด้านการศึกษา ในหัวข้อ
> ความแตกต่างทางการศึกษา
> Time for Education Start-up
> ฝันที่เปลี่ยนไปของเด็กและวัยรุ่นยุคใหม่นี้ และการเรียนเพื่อเป็น “ครู

 

พบกันวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 เวลา 14.00 – 15.00 น.
สามารถรับฟังและพูดคุยพร้อมกันได้ที่  Facebook Fanpage : EDTEXEXPO
หรือ https://www.facebook.com/edtexexpo/

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

สมัครรับข่าวสาร

logo