
ในเวทีเสวนา “วันนักการตลาดแห่งประเทศไทย 2568 (Thailand Marketing Day 2025) หัวข้อ Legacy wins Future begins: พลิกความคลาสสิคมาเป็นโอกาสแห่งอนาคต “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ชี้ว่า ไปรษณีย์ไทยกำลังถูกถ่างออกไปจากกลุ่มเจนใหม่ กลุ่มที่เขาให้นิยามว่าเป็น Highest Time Value ดังนั้น ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่ใกล้ชิดและรู้จักไปรษณีย์ไทยในวันนี้ นั่นคือ การใช้จุดแข็งที่เคยทำให้ไปรษณีย์ไทยแข็งแกร่งและตอบโจทย์ผู้บริโภคในอดีต มาเป็นชัยชนะที่จะเข้านั่งในใจผู้บริโภคในเจนซีหรือเจนอัลฟ่า ในวันนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ “ไปรษณีย์ไทย” ต้องลุกมาทรานสฟอร์มตัวเองเพื่อทำให้จุดแข็งที่มีอยู่สามารถทำให้ธุรกิจชนะได้ในภาพอนาคตข้างหน้า
“จุดแข็งที่เป็น Legacy ของไปรษณีย์ไทย คือ การเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่คนรู้จักดี และความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษไปรษณีย์ จำนวนมากกว่า 25,000 คน ที่รู้จักทุกตำแหน่งกว่า 20 ล้านหลังคาเรือน เมื่อปัจจุบันพฤติกรรมของการสื่อสารผู้บริโภคจากจดหมายกลายเป็นดิจิทัล ไปรษณีย์ไทยจึงต้องก้าวข้ามจากโลจิสติกส์ คอมพะนี ไปเป็นอินฟอร์เมชัน โลจิสติกส์ และทำทุก Touch Point ให้หลอมรวมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้แก่ผู้บริโภค” ดร.ดนันท์ กล่าว
โดยทั้ง 3 จุด Touch Point ได้แก่ บุรุษไปรษณีย์ แสตมป์ ตู้ไปรษณีย์สีแดง กำลังเปลี่ยนบทบาทตัวเอง โดยอาศัยความเป็น Trusted Channel Network ซึ่งเติบโตจากการเป็น Physical และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ และแม้ว่าคู่แข่งที่เป็นเทคคอมพะนี ซึ่งให้บริการคล้ายกันกับไปรษณีย์ไทยจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน แต่จุดแข็งที่เป็น Legacy ของไปรษณีย์ไทยที่คนอื่นไม่มีนั้น คือ การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างไปรษณีย์ไทยกับลูกค้า หรือ Customer Relationship Management: CRM
ในมิติของบุรุษไปรษณีย์ ที่เข้าถึงที่อยู่อาศัยแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 6 ล้านหลังคาเรือน คือ สิ่งที่เป็น coverage ประกอบกับความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจและการยอมรับในความผิดพลาดได้ นำไปสู่การต่อยอด “การขับคู่ธุรกิจ” ให้แก่เจ้าของสินค้า ซัพพลายเออร์ ไปสู่ผู้ซื้อ ในเวลาที่ถูกและใช่ เพราะเรารู้ว่าดีมานด์อยู่ตรงไหนและนำซัพพลายที่ใช่ไปให้
สิ่งนี้ ดร.ดนันท์ เรียกการทำหน้าที่ของบุรุษไปรษณีย์ในยุคใหม่ว่า Heart to Heart Matching Platform
“ไปรษณีย์ไทยมีช่องทางที่ครอบคลุมและความสามารถที่จะเห็นมากกว่าปกติ เช่น ร้านเสริมสวยในประเทศไทยมีเท่าไร ไม่มีใครตอบได้ สิ่งที่เรารู้ คือ สามารถรู้ได้ว่า ร้านเสริมสวยอยู่ตรงไหน หรือรู้แม้กระทั่งว่า ร้านนั้นๆ เปิดหรือปิด ซึ่งเป็นโอกาสของการนำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ แชมพู เป็นต้น เราไปทำให้ซัพพลายเออร์ และเจ้าของสินค้า เชื่อมกันกับผู้ซื้อ และเพื่อให้สินค้านั้นลงไปในช่องทางออฟไลน์ที่กว้างขึ้นมหาศาล”
บทบาทของบุรุษไปรษณีย์ ยังขยายไปสู่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของคนต้องการประกันได้ จนนำไปสู่โปรเจคผู้แนะนำ “ประกันวินาศภัย” ให้แก่ประชาชน จากกรณีที่บุรุษไปรษณีย์เห็นขโมยขึ้นบ้าน หรือ เข้าไปดับไฟในบ้านที่คนไม่อยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่า คนของเรา รู้หมดว่าบ้านไหนที่มีคนอยู่หรือไม่อยู่ เพราะคุ้นเคยกับพื้นที่ จึงเกิดการทดลองการส่งแคมเปญวินาศภัยไปให้สแกน และนำส่งผู้สนใจประกัน (Lead) ให้แก่บริษัทประกันวินาศัยภัย ตามมา
ในมิติแสตมป์ กำลังถูกเปลี่ยนไปเป็น Content Delivery Platform เพราะแสตมป์ไม่ได้มองว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งของอีกต่อไป ไปรษณีย์ไทยกำลังทำให้แสตมป์อยู่ในความสนใจของประชาชนในรูปแบบใหม่ๆ อาทิ แสตมป์เบญจภาคี ที่เป็นเครื่องรางของขลัง ซึ่งในอนาคต เราอาจจะเห็นสแตมป์ถูกใส่ในกรอบรูปแขวนไว้ในห้องพระก็เป็นได้
สุดท้าย คือ ตู้ไปรษณีย์สีแดง ที่กำลังถูกเปลี่ยนรูปร่างให้เป็นจุดขายเครื่องดื่ม หรือ แม้กระทั่งจุดให้บริการยืนยันตัวตน (KYC) ของรัฐได้ ไม่ใช่เป็นเพียงที่ดรอปจดหมายอีกต่อไป หรือแม้แต่จุดบริการไปรษณีย์ไทย สามารถมีร้านกาแฟ Post Cafe ที่ใช้เมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกที่เชียงราย และยังเป็นจุดจำหน่ายสินค้า House Brand อาทิ ข้าวสาร และเครื่องดื่ม ของไปรษณีย์ไทย พร้อมบริการขนส่งฟรี
นี่จึงเป็นบทสรุปว่า ไปรษณีย์ไทยสามารถนำ Legacy ที่มีอยู่มาชนะใจผู้บริโภคคนเจนใหม่ได้ ด้วยพลังของเครือข่ายที่แข็งแรงและ Touch Point ต่างๆ ที่พร้อมปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรม ความสนใจ และการใช้ชีวิตของเจนใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่โอกาสทางการตลาดของไปรษณีย์ไทยในอนาคต




