Marketing Insight

หมดยุคยิง AD “พลังครีเอเตอร์” + “พลังสินค้า” ยุคผู้บริโภคเชื่อคน มากกว่าสื่อโฆษณา

SHARE

ยุคที่ผู้บริโภคเชื่อ “คน” เชื่อ “ประสบการณ์จริง” มากกว่าสื่อโฆษณา ทำให้ Creators Economy กลายเป็นพลังใหม่ที่กำลังกำหนดทิศทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนท์ การขาย การรีวิว ทุกการเคลื่อนไหวของครีเอเตอร์ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคแบบที่ธุรกิจมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป

ในบริบทดังกล่าว ทำให้แบรนด์ต่างเฟ้นหาครีเอเตอร์มาช่วยโปรโมทสินค้า แล้วความสำเร็จอยู่ตรงไหน ในน่านน้ำสีเลือด

.

ในเวทีเสวนา “วันนักการตลาดแห่งประเทศไทย 2568 (Thailand Marketing Day 2025) หัวข้อ Prompt the Future: The Power of Creators Economy บอกกับเราว่า หัวใจของความสำเร็จ อยู่ที่สินค้าต้องดีด้วยตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ดัง แบรนด์กำลังจะดัง หรือ แบรนด์ยังไม่ดังแต่มีแผนเตรียมตัวดังที่ดี เพื่อโน้มน้าวใจบิ๊กครีเอเตอร์ ให้มองเห็นคุณค่า หยิบสินค้ามาปักตะกร้า ได้ประโยชน์จากแบรนด์ เช่นเดียวกับแบรนด์ที่ได้ประโยชน์จากครีเอเตอร์ สุดท้ายแบรนด์ยังต้องสร้าง Community เป็นของตัวเองให้ได้ ให้เกิดการบอกต่อ แปลงผู้บริโภคเป็นครีเอเตอร์ จึงจะเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง    

สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทเทลสกอร์ จำกัด อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มครบวงจรของไทย กล่าวถึงความสำเร็จในการใช้ครีเอเตอร์ทำการตลาด อยู่ที่การเข้าใจตัวสินค้าอย่างถ่องแท้ และแบรนด์ต้องดีจริง “ไม่ใช่แบรนด์เก๊” จากนั้นจึงหาครีเอเตอร์ที่ใช่มาตอบโจทย์แบรนด์

“ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าต้องทำครีเอเตอร์ แต่จะทำอย่างไรให้แตกต่าง คำตอบคือต้องทำทั้ง Funnel ตั้งแต่กระบวนการการตลาดและขาย เพื่อสร้างความต้องการ (Demand) ซึ่งเป็นเหมือนการเขย่าต้นไม้ ไม่ต่างจากกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ต้องเข้าไปศึกษาแบรนด์ก่อน ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และหาครีเอเตอร์ที่เข้าใจคุณค่าของแบรนด์ ไม่ใช่ขายของอย่างเดียว ไม่ต้องป้ายยา แต่เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ”

*แปลงผู้บริโภคเป็นครีเอเตอร์ ช่วยขาย

สุวิตา ยังกล่าวว่า เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักผ่านครีเอเตอร์ หลังจากนั้นต้องสร้าง Community รอบแบรนด์ ทำคอนเทนท์ให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ และอยากให้คนอื่นรู้จักด้วยเช่นกัน เป็นการเปลี่ยนผู้บริโภคเป็นครีเอเตอร์ (Turn Consumer to Creator) ซึ่งจะเป็นทำการตลาดที่ยั่งยืน ลดค่าใช้จ่าย

ธานัท จารุฤทธิไกร Chief Executive Officer, SHOPGENIX บริษัทผู้รวบรวมครีเอเตอร์ในสังกัดกว่า 3,000 คน เล่าว่า การจะประสบความสำเร็จในการใช้ครีเอเตอร์ช่วยขาย สินค้าต้องมีแรงจูงใจในการขาย แบ่งเป็น 3 องค์ประกอบคือ สินค้าดังอยู่แล้ว สินค้าที่มีแนวโน้มดัง และสินค้าที่ยังไม่ดังแต่มีแผนการตลาดที่ดีในการโน้มน้าวใจครีเอเตอร์

“ครีเอเตอร์ ไม่มีใครอยากทำงานฟรี (ขายไม่ได้) การที่เขาจะเลือกขายสินค้าไหน ก็ต้องดูว่าสินค้านั้นมีโอกาสที่จะขายได้เป็นอันดับแรก”

**เอไอ จุดเปลี่ยนเร่งความเร็วในการขาย

ธานัท ยังวิเคราะห์สถานการณ์แบรนด์ที่จะต้องทำงานกับครีเอเตอร์ในปี 2026 ว่า เอไอจะเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำวิดีโอออโตเมชั่นแทนการโชว์สินค้าจริง การตัดต่อ การทำรูป เอไอยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว เพราะทำวีดีโอจำนวนมากได้ในเวลารวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขายต้องลงทุน

“เอไอจะเป็นจุดเปลี่ยนเร่งความเร็วในการขายอย่างที่สุด เช่น ครีเอเตอร์จะขายเครื่องปั่นไฟ เก้าอี้นวด แต่ไม่สามารถนำสินค้าจริงโชว์ได้ ก็จะใช่เอไอช่วยเจนภาพวิดีโอ เพื่อปักตะกร้าแล้วขาย จากนั้นนครีเอเตอร์ก็เล่าเป็นฟีเจอร์สินค้า ซึ่งเทรนด์นี้กำลังมาแรง และขายดี คู่แข่งยังน้อย เพราะส่วนใหญ่ยังเจนเอไอไม่เป็น”

**คุณภาพสินค้าต้องมาก่อน

วศิน พรวิจิตรจินดา กรรมการบริหาร กัดไม่ปล่อย อะคาเดมี่ เจ้าของเพจ “อาจารย์เชียง กัดไม่ปล่อย” ในฐานะครีเอเตอร์ ระบุว่า คนที่จะเป็นครีเอเตอร์ได้ดีต้องเป็นหูไวตาไว เมื่อสินค้ามีแนวโน้มติดกระแส ต้องหยิบมาทำการขาย เพราะรู้ว่าสินค้ามีความต้องการแน่นอน โดยช่วงที่สินค้ากำลังเติบโต (Growth) ยังไม่ดังมาก จะเป็นช่วงที่จะขายสินค้าได้ดี เพราะแบรนด์จะอัดงบการตลาด เพิ่มค่าคอมมิทชั่น อย่างไรก็ตาม สินค้าจะขายได้หรือไม่ได้ สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า โดยหมดยุคยิงโฆษณา

“หมดยุคยิง AD สินค้าคุณภาพดีครีเอเตอร์พร้อมไปทำต่อ และสุดท้ายแบรนด์ต้องสร้าง Community ของตัวเองให้ได้” วศิน กล่าว

 

Tags:

ผู้เขียน
MAT Team

Marketing Association of Thailand

Subscribe now

© 2019 Marketing Association of Thailand
logo